STARK ปักธงปี 64 โต 15-20%ดัน รง.เวียดนามเป็นฐาน รุกตลาดสหรัฐฯ
บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ผู้ผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิลอันดับ 1 ของอาเซียนและอันดับ 14 ของโลก ตั้งเป้าปี2564 รายได้โต 15-20% ทุบสถิตินิวไฮต่อเนื่อง ฟาก"ชนินทร์ เย็นสุดใจ"บิ๊กบอส เผยปัจจุบันมี Backlog ทั้งในและต่างประเทศ ตุนไว้กว่า 9,000 ล้านบาท เดินหน้าประมูลงานใหม่เพียบ เร่งเครื่องเพิ่มกำลังผลิตโรงงานเวียดนาม หวังใช้เป็นฐานส่งออกไป 50 ประเทศ ประเดิมบุกตลาดสหรัฐ หลังจีนรับผลกระทบกำแพงภาษี ระบุปี 63 โชว์กำไรสุดประทับใจ 1,608.66 ล้านบาท ก้าวกระโดดจากปีก่อนถึง 1,198%
นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผู้ผลิต และจำหน่ายสายไฟฟ้าสำหรับระบบการส่ง และจ่ายกระแสไฟฟ้า สายไฟฟ้าทั่วไป ซึ่งเป็นรายเดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่าการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯมั่นใจว่าจะยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้น 15-20% และคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีก เนื่องจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ล มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรมไฟฟ้า ซึ่งแผนการลงทุน 5 ปี (2563-2567) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมราว 2 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนพัฒนาระบบส่ง และจำหน่ายไฟฟ้า
ปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้(Backlog)อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท โดยเป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯมีความพร้อมที่จะยื่นเข้าประมูลงานโครงการใหม่อีกจำนวนมาก
"สำหรับกลยุทธ์ในการบริหารในปีนี้จะมุ่งเน้นการขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสามารถในการทำกำไรได้สูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลาง จนถึงระดับสูงพิเศษที่มีการเติบโตสูง เพื่อรองรับโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน พร้อมกับการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัท จะช่วยให้เพิ่มความสามารถในการทำกำไรมากขึ้นด้วย" นายชนินทร์ กล่าว
นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือSTARK กล่าวว่าปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ลรวม 2.2 แสนตันต่อปี โดยแบ่งเป็นไทยและเวียดนาม 50-50% ซึ่งไทยใช้กำลังการผลิตไป 60-70% ส่วนเวียดนามใช้กำลังการผลิตอยู่ที่45-50% เท่านั้น ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนจะเพิ่มความเร็วในการผลิตส่วนของโรงงานเวียดนาม ภายหลังจากที่ได้ทำการบูรณาการ 2 โรงงานเข้าด้วยกันจะเกิดการประหยัดต่อขนาด และสร้างประสิทธิภาพการผลิตได้สูงสุดทำให้มีต้นทุนต่ำและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
"การเข้าไปลงทุนประเทศเวียดนามสามารถสร้างมูลค่าให้กับบริษัทฯได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯมีแผนจะบุกตลาดสหรัฐ หลังจากที่จีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ถูกกีดกันด้วยกำแพงภาษี จึงเป็นโอกาสที่ดี ขณะที่ตลาดสหรัฐ มีความต้องการใช้สายไฟฟ้า และเคเบิ้ลคุณภาพสูงจำนวนมาก โดยบริษัทฯคาดว่าจะใช้โรงงานในเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของฐานการผลิต เพื่อส่งออกไปรวมถึงหาโอกาสใหม่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งในปีนี้เรามีเป้าหมายสัดส่วนรายได้การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น10-12% จากเดิม 8% โดยคาดว่าจะมีการส่งออกไปยัง 50 ประเทศ" นายประกรณ์กล่าว
อนึ่ง ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2563 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 1,608.66 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,198.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 123.92 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,858.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,528.85 ล้านบาท
ปัจจัยสนับสนุนให้กำไรเพิ่มสูง เนื่องจากรับผลดีจากการเข้าลงทุนในประเทศเวียดนาม ทำให้สามารถรวมกลุ่มคำสั่งซื้อวัตถุดิบทองแดง และอะลูมิเนียม มีต้นทุนลดลง อีกทั้งปรับปรุงกระบวนการผลิต ทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมทั้งมุ่งเน้นขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ส่งผลทำให้กำไรสุทธิเติบโตกว่า 1,198%